เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ก.พ. ๒๕๖o

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราแสวงหาสัจธรรมกันเพื่อชีวิตของเราไง คนเราเกิดมา ถ้าไม่มีศาสนา คนเราก็ยังเชื่อ เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาปนะ ถ้าเชื่อเรื่องบุญเรื่องบาปเพราะอะไร เพราะคนเกิดมาแล้วหาที่พึ่งๆ คนโบราณนะ ถ้ายังไม่มีศาสนาน่าสงสารมาก น่าสงสารมาก ดูสิ เวลาถือผีถือสางขึ้นมา หาสิ่งใดมา กลัวจะผิดผีผิดสาง ชีวิตนี้มันคับแคบ

แต่พอมีพระพุทธศาสนาขึ้นมา ถ้าพระพุทธศาสนาขึ้นมา ความกตัญญูกตเวที เรามีพระอรหันต์ในบ้าน มีพ่อมีแม่ขึ้นมา พ่อแม่มีบุญมีคุณมากกว่าใครทั้งสิ้น ถ้าพ่อแม่มีบุญคุณมากกว่าใครทั้งสิ้น พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มาไง ถ้าพ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา ความกตัญญูกตเวที ความเป็นคนดี เครื่องหมายของคนดี เครื่องหมายของคนดี มันมีความกตัญญูกตเวที คิดถึงบุญคุณเขา เห็นไหม มีน้ำใจต่อกันๆ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมๆ วางธรรมและวินัยนี้ไว้ เวลาว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัย ก็พ่อแม่เป็นที่พึ่งที่อาศัย พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา พ่อแม่เลี้ยงดูมาทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราเติบโตขึ้นมา เราเคารพบูชาพ่อแม่ของเรา เราเป็นคนดี นี่มันคุ้มครอง คุ้มครองเราอยู่แล้ว ถ้าคุ้มครองเราอยู่แล้ว เวลาจะหาคนดี สิ่งที่มันไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่พึ่งเพราะมันก็แสวงหาอย่างนั้น เวลาแสวงหาที่พึ่งจากภายในๆ เห็นไหม

เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ ผู้นำนี้หายากๆ ผู้นำ ผู้นำมันจะนำเขาได้ จะนำเขาได้ เวลาหลวงตาท่านสอนประจำ ไม่ติดเราแล้วจะไม่ติดใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่ติดเรา

นี่มันติดเราไง เราจะเป็นผู้นำเขาๆ กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันล้นฟ้า เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย พอคิดได้ขึ้นมาก็เป็นคนดี พอโดนกิเลสมันครอบงำขึ้นมาก็จะเอารัดเอาเปรียบเขาอยู่แล้ว นี่หาผู้นำที่ดี หาผู้นำที่ดีจะไปหาที่ไหน

เวลาหาผู้นำที่ดี ครูบาอาจารย์เราท่านฝึกฝน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราแสวงหาครูบาอาจารย์กันแทบเป็นแทบตายนะ หาครูบาอาจารย์แทบเป็นแทบตายเพราะเราต้องลงใจ เราต้องไว้ใจ เราต้องเชื่อใจได้ไง ไม่พาเราหลงทางๆ

ถ้าพาเราหลงทางไป คนพากันหลงทางไปมันก็เสียเวลาแล้วแหละ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตทั้งชีวิตนะ จะให้คนอื่นพาเราไปลุ่มๆ ดอนๆ ได้อย่างไร เราจะหาครูบาอาจารย์ที่ไว้ใจได้ หาครูบาอาจารย์ที่ไว้ใจได้

เวลาหาครูบาอาจารย์ที่ไว้ใจได้ เห็นไหม เวลาเป็นพระๆ แสวงหา แสวงหาจะไปที่ไหนก็แล้วแต่ พระจะอยู่ด้วยกันได้ต้องขอนิสัย คำว่า ขอนิสัย” ผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ถ้ามีศีลมีธรรมนะ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ ให้ ๑๐๐ พรรษาด้วย ถ้ามันไม่มีธรรมวินัยในหัวใจของมันน่ะ มันก็ไม่พ้นนิสัย แล้วไม่พ้นนิสัยแล้วจะเป็นผู้นำของใคร แล้วจะเป็นผู้นำของใคร มันต้องนำตัวเองได้ก่อน ถ้านำตัวเองได้มันนำที่ไหน มันนำที่ในหัวใจของเราไง ถ้านำในหัวใจของเรา

ผู้นำที่เราแสวงหา ถ้าแสวงหาผู้นำที่ดี ผู้นำที่ดีจะพาเราไปที่ดี ถ้าผู้นำที่ไม่ถูกต้อง ผู้นำที่เห็นแก่ตัว มันแสวงหา มันเห็นแก่ตัวทั้งนั้นน่ะ แล้วเราก็เชื่อ เราก็เชื่อเพราะอะไร เพราะวุฒิภาวะของสังคมมันอ่อนด้อย

ถ้าวุฒิภาวะของสังคมมันอ่อนด้อย เวลาชาวพุทธเรา ชาวพุทธเราจะติเตียนกันเองไง “พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้หรือ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้หรือ พระทำตัวกันอย่างนี้หรือ” นี่เราก็คิดได้ เราก็คิดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาทำจริงๆ แล้วมันทำจริงๆ ที่ไหนล่ะ ทำจริงๆ ขึ้นมา ทาน ระดับของทาน ทานเราก็สังคมนี่แหละ สังคมเรามีความเมตตาต่อกัน สังคมเรามีน้ำใจต่อกัน นี่สังคมของเราไง

ทีนี้สังคมของเราขึ้นมามีน้ำใจต่อกัน คนที่เขาฉลาดกว่าเขาก็บอกว่ามันจะไปสวรรค์ มันจะไปนู่น เอานรกสวรรค์มาขู่กัน เอานรกสวรรค์มาขู่กัน นรกสวรรค์มันมีจริงหรือไม่มีจริง

นรกสวรรค์มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ นรกสวรรค์ ถ้าเราทำดี สุคโต ถ้าเราทำดีอยู่แล้ว ใครจะเอานรกมาขู่อย่างไรมันก็ขู่เราไม่ได้หรอก เพราะว่าเราไม่ได้ทำอย่างนั้น

ถ้าเราทำแต่ความชั่วๆ เขาบอกว่าเราจะได้สวรรค์ๆ สวรรค์ที่ไหน เราทำของเราเอง เขาจะมาขู่เราได้อย่างไรถ้าเราทำของเราด้วยความจริงของเรา ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำดีมันต้องได้ดีอยู่แล้ว

ความดี คนระดับพื้นฐาน ดูเจดีย์ ฐานของเจดีย์มันกว้างขวางมากเลย องค์ของเจดีย์ก็พอสมควร ปลายเจดีย์มีนิดเดียว ปลายเจดีย์มันแหลม มันอยู่ส่วนยอดไง นี่ก็เหมือนกัน ความคิดของคน ความคิดของคนไง โดยพื้นฐาน พื้นฐานเราทำความดีความดี ความดีก็เป็นพื้นฐาน ฐานมันกว้างขวางไง คือมันก็ทำมาทุกๆ คนน่ะ ทุกคนก็ทำดีมาเหมือนกันน่ะ แล้วเราบอกเราจะดีเกินหน้าคนอื่น เป็นไปได้อย่างไร

แต่ถ้าเราทำดีของเราต่อเนื่องๆ เวลาถึงระดับของมัน ระดับความดีอันนั้นไง ถ้าความดีอันนั้น ดูสิ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านไม่สนใจใครเลย ท่านไม่แคร์ใครเลย เขาแสวงหาความสุขกัน เขามีความสุขความรื่นเริงกัน ท่านแสวงหาในหัวใจของท่าน ไปอยู่ที่ไหนก็ไปอยู่บ้านเล็กๆ น้อยๆ เพื่อหาสถานที่วิเวก หาสถานที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านพยายามเอาตัวของท่านให้ได้ ท่านเอาตัวของท่านได้ ถ้ามันเป็นจริงในใจของตัวเรา ถ้าจริง ผู้นำนำในใจ ศีล สมาธิ ปัญญา

กิเลสมันดิ้นรนทั้งนั้นน่ะ กิเลสมันไม่ต้องเข้าที่อับที่จนหรอก กิเลสมันจะอยู่ในสังคม มันจะรื่นเริงของมัน มันขี่หัวใจของสัตว์โลกไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนะ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดในดวงใจของเราอีกไม่ได้เลย ไม่ได้เลย”

แต่ของเราไม่เห็นมันเลย ให้มันเหยียบให้มันย่ำอยู่นั่นน่ะ มารเอยอยู่ไหน มารก็ไม่รู้จัก สิ่งที่พอใจมันถูกต้อง สิ่งที่ไม่ถูกใจขัดแย้งไปทั้งนั้น

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านแสวงหา แสวงหาที่สงบสงัด ท่านหาความสุขในใจของท่าน ท่านพยายามหาความมหัศจรรย์ในใจของท่าน เวลาจิตมันสงบขึ้นมา โอ้โฮ! มันสว่างไสวไปหมดเลย

ไอ้เราก็แสวงหาความสุขกัน แข่งดีกัน คนนู้นดีกว่าคนนี้ คนนี้ดีกว่าอย่างนั้น ไม่มีอะไรดีจริงสักอันหนึ่ง ทำสิ่งใดก็ไม่ประสบความสำเร็จสักอย่างหนึ่ง

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านทำของท่านขึ้นมา เวลามันสว่างไสวจากภายใน มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ใครจะหลอกใคร

เวลากิเลสมันหลอกนะ เวลาที่ไหนเขามีชื่อเสียงมีกิตติศัพท์กิตติคุณก็ไปหาเขา เวลาไปหาเขา ถ้าเรามีผลประโยชน์ เขาก็ยกย่องสรรเสริญ เขาเชิดชู เวลาเราไม่มีประโยชน์กับเขา เขาใช้เราอย่างกับทาส เอาเราไปใช้อย่างกับทาสเลย เอาไว้เพื่อองค์กรของเขา มันก็ยังไปเชื่อเขาอยู่นะ ต้องไปให้เขาเชิดชูหรือ

นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เข้ามาในวัดในวา ข้อวัตรปฏิบัติ มันข้อวัตรวัดที่ไหน วัดที่หัวใจ ถ้าหัวใจมันวัดของมันได้ มันเข้าไปที่สงบสงัดของมัน มันจะหาความจริงในใจของตน ถ้าหาความจริงในใจของตน เรามาวัดมาวา เราจะมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เราจะมาค้นคว้าหาความจริงของเรา ถ้าค้นคว้าหาความจริงของเรา ถ้าเป็นตัวตนของเรา นี่จิตของเราๆ

ดูสิ ในบ้านของเรา ใครจะมีบุญคุณมากกว่าพ่อแม่ของเรา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา นั่นก็คือพ่อแม่ของเรา เวลาเราเกิดมาเป็นเราขึ้นมาแล้ว เราเคารพบูชา แล้วเราเป็นอย่างไร เราก็พ่อแม่ก็ตั้งชื่อให้ พ่อแม่ก็เลี้ยงดูมาทั้งนั้นน่ะ แล้วเราก็ดูแลพ่อแม่ของเราจนถึงที่สุด แล้วเราล่ะ แล้วเราล่ะ แล้วเราอยู่ไหนล่ะ แล้วเรายังเคว้งคว้างอยู่นี่ไง นี่ระดับของวัฏฏะ ระดับของเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้ามันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันมีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตนี้ก็คือเรา

แต่ธรรมะค้นคว้าที่นี่ เรามีสติมีปัญญานะ หายใจเข้านึกออกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาเราทำหน้าที่การงานของเรา เราก็ทำของเรา หน้าที่การงานของเราทำเพื่อเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยไว้ดำรงชีพ แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ประพฤติปฏิบัติเพื่อหัวใจของเรา นี่ธรรมะๆ ใจต้องการธรรมะอันนี้ กิเลสมันกลัวธรรมอันนี้ไง

กิเลสไม่กลัวใดๆ เลย กิเลสมันเข้าข้างเราตลอด คิดอะไรนี่กิเลสเออออห่อหมกหมดเลย มันไม่เคยกลัวอะไรเลย แล้วยิ้มเยาะเยาะเย้ยถากถางด้วย สัตว์โลกตามืดบอด มันอยู่ในอำนาจทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้าวันไหนเรามีศีล เราจะมีศีล ศีลคืออะไร คือธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะมารื้อสัตว์ขนสัตว์ ศีลคืออะไร ปาณาติปาตา ไม่ก้าวล่วงใครทั้งสิ้น นี่กิเลสมันไม่พอใจแล้ว เวลากิเลสมันจะเอาเปรียบๆ เขา เพราะอะไร ปาณาติปาตามันก็มีขอบเขตใช่ไหม เราไม่ทำลายใครทั้งสิ้น เราไม่เอาเปรียบใครทั้งสิ้น เราไม่หยิบฉวยของใครทั้งสิ้น เราไม่ผิดลูกเมียของใครทั้งสิ้น เราไม่โกหกมดเท็จใครทั้งสิ้น เพราะกิเลสมันมีขอบเขตของมันแล้ว มันอึดอัดแล้ว มันอึดอัดแล้ว อึดอัด เราก็ฝืนทนของเรา พยายามทำของเราขึ้นมา ศีลมันก็เกิดขึ้นมา นี่มันข้อห้าม ศีลคือข้อบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันจะมีจริง มีจริงอยู่ที่เราไง

เราแสวงหาผู้นำๆ เราแสวงหา เราจะนำหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรามีขอบมีเขตขึ้นมา ถ้ามีขอบมีเขตขึ้นมา ถ้ามันพอใจ มันพอใจมันสมดุลของมัน แต่เวลาคนเราโดยปกติมันจะเอาสะดวกสบาย กิเลสมันจะครอบงำไง

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา”

นี่ไม่ใช่อะไรเลย นี่แค่ขีดขอบเขตเพื่อจะเข้าไปหามัน มันยังดิ้นรนมันยังต่อต้าน ความต่อต้านมันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาบารมีของคน ถ้าอำนาจวาสนาของคนที่มันมีอำนาจวาสนามันพอใจ มันพอใจนะ ของดีๆๆ แต่ถ้าอำนาจวาสนามันไม่ดีแล้วมันขัดมันแย้ง กิเลสมันโดนขีดขอบ พอกิเลสมันโดนขีดขอบ มันดิ้นรนน่ะ นั่นน่ะมันมารทั้งนั้นน่ะ

แล้วถ้าของดีๆ ของดีคือประโยชน์กับเรา ถ้าของดีคือประโยชน์กับเรา ทำไมไม่ทำ ของดีคือประโยชน์ของเรา ทำไมไม่ทำ ไหนว่าเป็นคนดีไง นี่ติดเราๆ เห็นไหม เพราะติดเรา เรามันอีโก้ มันอยากดังอยากใหญ่ อยากเหยียบย่ำเขา มันจะนำใครล่ะ มันมืดบอด

แต่ถ้ามีศีลๆ ขึ้นมา ศีลก็ของดีๆ ของดีก็ลดทิฏฐิมานะของตนไง ลดการเห่อเหิมทะเยอทะยานในใจของตนไง ถ้ามันลดการเห่อเหิม ดูสิ เราจะดับไฟๆ เราทอนเอาเชื้อมันออก เราถึงจะดับไฟได้

นี่ก็เหมือนกัน กิเลส กิเลสโดนมันเผาลนในหัวใจ มันมืดบอดไปหมดเลย แล้วจะไปสู้กับมันอย่างไร

นี่แสวงหาผู้นำๆ ถ้าผู้นำทางโลก เราแสวงหาครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้นำที่ไว้ใจได้ ที่เชื่อใจได้ ที่ไว้ใจได้ ที่เชื่อใจได้ เราก็สังเกตสิ สังเกตพฤติกรรม สังเกตการกระทำ นั่นน่ะเป็นครูเรานะ

อยู่กับหลวงตาท่านสอนนะ ไม่ใช่ว่า นะโม ตัสสะ จะเทศน์สิ่งที่ครูสอน พฤติกรรมที่ความเป็นอยู่มันสอนหมดน่ะ สอนถึงความเป็นอยู่ สอนถึงกิริยา สอนทุกๆ อย่างไง

นี่ไง เราสังเกต ถ้าผู้นำมันลงใจ อันนั้นสิ่งนั้นน่ะ เราสังเกตตรงนั้น พอสังเกตตรงนั้นแล้ว เราจะนำตัวของเราเอง เราจะนำให้ได้ในหัวใจของเรา ถ้านำหัวใจของเราได้มันก็จะมีมรรค ถ้ามีสติขึ้นมา มีสติ มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา มันมีสติขึ้นมา เราจะนำที่นี่ นี่ผู้นำที่หายาก

ผู้นำที่หายาก ศีล สมาธิ ปัญญา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ผ้ากาสาวพักตร์ ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เป็นเป้าหมายของเรา ถ้าเป็นเป้าหมายของเรา เราจะค้นคว้าหาที่นี่ไง แล้วค้นคว้าหาที่นี่ ไปหาที่ไหน

มีพินัยกรรมขึ้นมาก็แสวงหาสมบัติ หาสมบัติก็พอดีหาไม่เจอ นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกมันเป็นแผนที่นะ เป็นพินัยกรรมที่ชี้นะ

พระไตรปิฎกคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดชี้เข้ามาที่ใจของสัตว์โลก รื้อสัตว์ขนสัตว์คือรื้อหัวใจของสัตว์โลกที่มันทุกข์ ที่ไหนมีทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาตรงนั้น ปรารถนาหัวใจของคนๆ แต่เวลาเราเกิดมาแล้ว มันมีสังฆะ มีมนุษย์ขึ้นมา ก็มีวัดมีวาขึ้นมา อันนี้เป็นศาสนวัตถุ ศาสนวัตถุก็เหมือนบ้านน่ะ คนต้องมีบ้านอาศัย วัดวาอารามมันก็ต้องมีไว้ให้ผู้ที่ไม่มีเรือนไง

เวลาพระออกมาบวชแล้วไม่ครองเรือน ไม่มีเรือนใช่ไหม เสียสละโลกไว้เป็นของโลกใช่ไหม เรามาอยู่ในศาสนาใช่ไหม สิ่งนั้นน่ะเป็นที่อยู่อาศัย เห็นไหม สิ่งที่ว่าผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมีของเขา เขาทำเป็นศิลปวัฒนธรรม เป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธๆ เราก็ไปดูศิลปวัฒนธรรมกัน แต่เราทอดทิ้งหัวใจไง

เวลาผู้นำๆ ผู้นำทางโลก วัดวาอารามที่ไหนมันเสื่อมสภาพก็บูรณะกันสักทีหนึ่ง อู๋ย! เป็นขบวนการซ่อมแซม ได้บุญมหาศาล วิมาน ใครเสียสละเป็นที่พักอาศัยจะได้วิมานบนสวรรค์ ก็ผลของวัฏฏะๆ เราก็เกิดแล้ว เราก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่แล้ว ผู้นำอย่างนั้นมันก็นำในวัฏฏะไง

แต่ผู้นำในหัวใจที่ถือพรหมจรรย์ๆ ผู้นำที่จะเอาใจนี้ออกจากวัฏฏะไง ถ้าผู้นำที่จะเอาใจออกจากวัฏฏะ เขาถึงมีศีล สมาธิ ปัญญาของเขาขึ้นมา นี่ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันก็เรื่องของหัวใจใช่ไหม มันไม่ใช่เรื่องของศาสนวัตถุ

ศาสนวัตถุก็คือมาจากคน คนเป็นผู้สร้างขึ้นมา ถ้าคนเป็นผู้สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาเป็นประโยชน์ของสาธารณะ มันก็ได้บุญกุศลส่วนหนึ่ง ระบบของทาน ถ้าระบบของศีลๆ เราก็ขีดเส้นของเรา ปฏิบัติของเราขึ้นมา แล้วระดับของปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากการกระทำ เกิดขึ้นมาจากดุลพินิจ เกิดขึ้นมาจากสติปัญญาของเราที่มันเกิดขึ้นมา ถ้าเกิดขึ้นมา เราจะนำหัวใจเราแล้ว ถ้าหัวใจเรามีมรรคมีผลขึ้นมา เราจะนำหัวใจของเรา หัวใจของเราที่มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา มันพิจารณาของมัน มันแยกแยะของมันนะ

นี่ไง ที่ว่ากิเลสมันต่อต้าน ที่กิเลสมันครอบงำ ที่มันเผาลนเป็นไฟอยู่ในหัวใจนั่นน่ะ มันเริ่มสงบตัวลงๆ ปัญญามันจะผุดขึ้นมา หน่อของพุทธะๆ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันจะเกิดหน่อพุทธะขึ้นมาไง ถ้าหน่อพุทธะเกิดขึ้นมา มันเกิดอย่างนี้ไง

ถ้าเรานำในใจของเรา เรารู้เห็นในใจของเรา สิ่งที่มันจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมา เราต้องมีสติมีปัญญาขนาดไหน เราต้องดูแลเราขนาดไหน เราจะไปเพลิดไปเพลินกับสิ่งที่เป็นศาสนวัตถุ สิ่งที่วัตถุภายนอกได้อย่างไร

สิ่งที่วัตถุภายนอก ดูสิ ความรู้สึกนึกคิดคืออารมณ์ จิตมันส่งออกมันถึงมีอารมณ์ขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบแล้วมันวางหมด อารมณ์มันไม่มี ความคิดมันไม่มี ความคิดจะมีมันเกิดจากจิตทั้งนั้นน่ะ ถ้าจิตมันสงบแล้ว ความคิดมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราพุทโธๆ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา ก็อยู่ที่ความคิดนี่แหละ พออยู่ที่ความคิด มันรู้เท่าทันมันก็ปล่อยความคิด ปล่อยความคิด มันก็เป็นตัวของมันใช่ไหม ถ้าเป็นตัวของมันก็เป็นสัมมาสมาธิ แล้วสัมมาสมาธิ ถ้าจิตมันเป็นสมาธิขึ้นมาแล้ว กิเลสที่มันไม่ชักนำมันไม่ชักจูง เราจะแสวงหาธรรมๆ เราจะค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของเรา ธรรมะที่มันจะเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิ เกิดสัมมาสมาธิ ที่มันเกิดขึ้นมามันใช้ปัญญาพิจารณาของมันไปน่ะ เราจะเห็นความมหัศจรรย์แล้ว

สิ่งที่เป็นศาสนวัตถุที่เขาสร้างกันมโหฬาร ที่ประณีตบรรจงนั่นน่ะ นั่นน่ะเข้าสร้างไว้ อารามิกชน คนที่ไม่มีบ้านมีเรือน ผู้ที่เสียสละมาเพื่อพรหมจรรย์

แต่ถ้าเราจะสร้างคุณธรรมในใจของเรา เราจะนำหัวใจของเรานะ มันต้องเกิดจากมรรคจากผล เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งที่ปัญญาที่มันพิจารณาของมัน มันเกิดความมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์จนวางได้หมดไง รสของธรรมชนะถึงรสทั้งปวง มันจะมีรสอะไรที่มันจะแปลกประหลาดมหัศจรรย์ไปกว่านี้

แล้วใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เกิดญาณวิถี ญาณวิถีนี้คือมรรคไง ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดเป็นญาณวิถีขึ้นมา ที่มันมีสติปัญญาขึ้นมา มันพิจารณาของมันเข้ามาในหัวใจ ดูสิ ที่ปัญญามันหมุนๆ หมุนเข้าไปทำอะไร หมุนเข้าไปปั่นหัวกิเลสไง

กงจักร เวลากงจักร ความคิดของโลก กงจักรที่มันทำลายไปหมดไง

ธรรมจักร ธรรมจักรที่มันหมุน หมุนขึ้นมาทำลายกิเลส มันหมุนเข้าไปเพื่อตัดหัวกิเลส ตัดหัวกิเลส ทำลายกิเลสในใจของเราๆ เห็นไหม มันพิจารณาไปโดยความมหัศจรรย์ของตน นี่เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก

ผู้ปฏิบัติธรรม เวลาความมหัศจรรย์ เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติแล้วนะ ท่านเห็นใจของท่าน ท่านเห็นความมหัศจรรย์ในใจของท่าน มันมหัศจรรย์จริงๆ แล้วมันคุ้มค่า มันคุ้มค่ากับการเกิดมาไง มันคุ้มค่ากับสิ่งที่มีชีวิตไง มันคุ้มค่ากับคุณธรรมไง คุณธรรมที่มันเสียสละ มันทุ่มเทไง มันถึงทำได้ เราถึงเห็นครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม

เรามองมาทางโลกไง เราใช้มุมมองของโลกเข้าไปจับไง ถือศีลน่ะ ฉันมื้อเดียว ลุ่มๆ ดอนๆ นอนก็ไม่ได้นอน กินก็ไม่ได้กิน มันจะเอาความสุขมาจากไหน มันจะเอาความสุขมาจากไหน ไอ้เรากิน ๕๐ มื้อ ๑๐๐ มื้อ โอ้โฮ! มันยังทุกข์ขนาดนี้ ไอ้คนที่มันอดมันอยากมันจะมีความสุขมาจากไหน

ความสุขมาจากจิตสงบ ความสุขมาจากคุณธรรมในใจ มันมหัศจรรย์ของมัน มันทำของมันน่ะ นี่ไง ถ้ามันนำใจของตนได้ พอนำใจของตนได้ มันมีวุฒิภาวะ ไม่ตื่นกระแส ไม่ตื่นไปกับโลกนะ

โลกเป็นโลก โลกนี่อนิจจัง มันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงกันไปตลอด อยู่ที่คนที่มีบุญและไม่มีบุญ คนมีบุญมาเกิด ผู้ที่มีบุญมาเกิด ดูอย่างในหลวงของเรา ในหลวงเราเกิด ๗๐ ปี ชาติไทยเราสงบร่มเย็นนะ สงบร่มเย็นเพราะบารมีของในหลวงของเรานะ ในหลวงของเราก็สวรรคตไปแล้ว เป็นยุคเป็นคราว เราเกิดร่วมกับใคร ถ้าเราเกิดร่วมมันก็เป็นความสุข เป็นความสุข เป็นสิ่งที่คุ้มครองดูแลเรา แล้วเราก็ต้องคุ้มครองดูแลหัวใจของเรา เราต้องคุ้มครองดูแลจิตใจของเรา เราพยายามของเราสิ เราทำของเรา

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราขวนขวายหาทรัพย์สมบัติของเรา โยมมาทำบุญกุศลมันเป็นทรัพย์สมบัติอันหนึ่ง เขาเรียกทิพย์สมบัติ สิ่งที่เสียสละไปแล้ว โยมหลับตาแล้วนึกถึงสิ่งที่เราเสียสละไว้ มันก็อยู่ในใจนั่นน่ะ เวลาตายไปก็วิญญาณาหาร สิ่งนี้มันจะเกิดเป็นทิพย์ ถ้าเป็นเทวดากินอาหารที่เป็นทิพย์ๆ ถ้าเป็นพรหมเป็นผัสสาหาร ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เราก็จะมาทำไร่ไถนาหาอาหารกินกันต่อ นี่ไง เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ

บุญกุศลของเรา เราสร้างก็เป็นของเรา ถ้าเราปฏิบัติของเรา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นสมบัติของเรา มันฉ้อโกงกันไม่ได้ไง ปัญญาของคน เราจะไปฉ้อโกงมาให้เกิดกับเราไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้ฝึกไม่ได้หัดขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดจากการวิริยอุตสาหะ การกระทำของเรา จากปัญญาข้างนอก ปัญญาภายนอก ให้มันละเอียดขึ้นมาเป็นปัญญาภายใน เป็นปัญญาที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปจนเป็นญาณวิถี จนไปชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา เอวัง